ขายบุหรี่ไฟฟ้าราคาถูก.com : Daniele De Ross
Daniele De Ross
ดานีเอเล เด รอสซี (Daniele De Rossi) เกิดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1983 ที่กรุงโรม เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลี ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ เขาเคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก กับทีมชาติอิตาลี ในปี 2006 และเป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ เซเรียอา ในปีเดียวกัน ก่อนจะได้รางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของอิตาลีในปี 2009 เด รอสซี ถือว่าเป็นนักเตะที่มีความโดดเด่นในด้านความจงรักภักดีกับสโมสรต้นสังกัด และได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมโรมา สืบต่อจาก ฟรานเชสโก ต๊อตติ ในอนาคต ปัจจุบันเขาเป็นนักเตะโรมา ที่ทำสถิติติดทีมชาติอิตาลีสูงที่สุด (74 นัด) และทำประตูได้มากที่สุด (10 ประตู)เด รอสซี เป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกเลื่อนชั้นขึ้นมาจากระบบทีมเยาวชนในปี 2001 เขามีโอกาสลงสนามในนามทีมชุดใหญ่นัดแรกเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2001 ในฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่พบกับอันเดอร์เลชท์จากเบลเยียม ก่อนจะได้ลงเล่นเซเรียอา เกมแรกในฤดูกาล 2002-03 ในเกมกับ โคโม่ ในช่วงเวลาดังกล่าว เด รอสซี ยังไม่มีโอกาสได้ลงเล่นในทีมของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ บ่อยครั้งนัก เพราะมีนักฟุตบอลชื่อดังในทีมเบียดแย่งตำแหน่งกองกลางตัวรับกันหลายคน กระทั่งมามีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญสำหรับตัวเขา และต้นสังกัดในฤดูกาล 2004-05 เมื่อ คาเปลโล ตัดสินใจอำลาทีมเพื่อไปคุมยูเวนตุส หนึ่งในคู่แข่งสำคัญร่วมลีก ตามมาด้วยการย้ายไปสมทบของเอเมอร์สัน กองกลางทีมชาติบราซิล เปิดโอกาสให้เด รอสซี ได้ลงเล่นเป็นตัวหลักของทีมโดยทันทีในวัยเพียง 21 ปี และมีความสำคัญภายในทีมโรมา มาตลอดจนถึงปัจจุบัน เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าต้องการจะอยู่กับโรมาไปตลอดจนเลิกเล่นเหมือนกับ ต๊อตติ
รุ่นพี่ที่เป็นตำนานของทีม หลังจาก คริสเตียน ปานุชชี่ อำลาทีมไปหลังจบฤดูกาล 2008-09 เด รอสซี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองกัปตันทีมโรมา ถัดจากต๊อตติ กัปตันทีมคนปัจจุบัน และในระหว่างฤดูกาล 2011-12 เด รอสซี ได้ทำการต่อสัญญาฉบับใหม่กับโรมา ไปอีก 5 ปี จนถึงปี 2017 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ได้รับค่าจ้างมากที่สุดในทีมเหนือกัปตันทีมอย่าง ต๊อตติ และยังมากเป็นอันดับ 2 ของเซเรียอา รองจาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช อีกด้วยเด รอสซี ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีนัดแรกในเกมฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก กับทีมชาตินอร์เวย์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2004 และเขาก็แจ้งเกิดด้วยการทำประตูแรกของตัวเองในนัดนั้นทันที และได้ลงเล่นเป็นตัวหลักอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศเยอรมนี เขาก่อเรื่องอื้อฉาวในเกมรอบแรกนัดที่ 2 ที่ อิตาลี พบกับ สหรัฐฯ จากการไปชักศอกใส่ ไบรอัน แม็คไบรด์ ทำให้ถูกไล่ออก และโดนฟีฟ่าลงโทษแบนถึง 4 นัด แต่จากการที่ อิตาลี ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศกับ ฝรั่งเศส ทำให้ เด รอสซี ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง และมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์โลก จากการเป็น 1 ใน 5 คนที่ยิงลูกจุดโทษตัดสิน หลังจากเสมอกัน 1-1 ใน 120 นาที หลังจากคว้าแชมป์โลก พร้อมกับการอำลาทีมชาติของฟรานเชสโก ต๊อตติ ทำให้เสื้อหมายเลข 10 ว่างลง เด รอสซี จึงกลายเป็นตัวแทนในการสืบทอดหมายเลขดังกล่าวต่อจากนักเตะรุ่นพี่ แม้ตำแหน่งของเขาจะไม่ใช่ตัวรุกทำเกม โดยเขาใช้หมายเลขนี้ในการลงเล่นทั้งรายการ ยูโร 2008 รอบสุดท้าย และ คอนเฟเดอเรชั่นส์คัพ 2009 อย่างไรก็ตามในอีก 2 รายการหลัง เขาไม่ได้ใช้เสื้อหมายเลข 10 แต่อย่างใด โดยเปลี่ยนไปใช้หมายเลข 6 ในฟุตบอลโลก 2010 และหมายเลข 16 ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ใช้ในโรมา ใน ยูโร 2012 แทน